การพูดจาแนะนำสั่งสอนให้คนโง่เง่าฟังเพื่อหวังให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเขาเองแต่กลับไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยเพราะคนโง่ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกับคนเป่าปี่ให้ควายฟังควายฟังไม่รู้เรื่อง
ประเภทสำนวน
"เป่าปี่ให้ควายฟัง" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบหรือเปรียบเปรย มีความหมายแฝงที่ต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ได้เป็นคำสอนโดยตรง แต่เป็นการเปรียบเทียบสถานการณ์การพูดให้คนที่ไม่มีความเข้าใจฟัง
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากการเปรียบเทียบกับการที่คนนำเครื่องดนตรีอย่างปี่มาเป่าให้ควายฟัง ซึ่งควายไม่มีความเข้าใจหรือซาบซึ้งในเสียงดนตรี จึงเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ ใช้เปรียบเทียบกับการพูด สอน หรืออธิบายสิ่งที่ลึกซึ้ง มีเหตุผล หรือซับซ้อนให้กับคนที่ไม่มีความรู้ ไม่สนใจ หรือไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจ ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไร
ตัวอย่างการใช้สำนวน "เป่าปี่ให้ควายฟัง" ในประโยค
- การอธิบายเรื่องวิทยาศาสตร์ให้คนที่ไม่สนใจเรียนรู้ฟัง ก็เหมือนกับเป่าปี่ให้ควายฟัง
- ฉันพยายามสอนคุณยายใช้สมาร์ทโฟนมาสามชั่วโมงแล้ว แต่ท่านก็ยังไม่เข้าใจเลย รู้สึกเหมือนเป่าปี่ให้ควายฟังจริงๆ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี