ไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้สึกเดือดร้อน
ประเภทสำนวน
"เกรงอกเกรงใจ" จัดว่าเป็น สำนวนไทย เพราะว่า เป็นวลีที่มีความหมายเฉพาะ ไม่สามารถแปลตรงตัวได้ ไม่ใช่คำสอนโดยตรง (สุภาษิต) หรือการเปรียบเทียบ (คำพังเพย) แต่เป็นการบรรยายอาการหรือความรู้สึกเฉพาะแบบหนึ่ง
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้ใช้อธิบายความรู้สึกที่คนเราไม่กล้าที่จะรบกวนหรือขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เพราะไม่อยากให้เขาลำบากหรือต้องทำในสิ่งที่อาจจะไม่สะดวก เป็นการแสดงความคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น โดยใช้คำว่า 'อก' และ 'ใจ' ซึ่งเป็นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกมาซ้ำกันเพื่อเน้นความหมาย
ตัวอย่างการใช้สำนวน "เกรงอกเกรงใจ" ในประโยค
- ฉันอยากจะขอคำปรึกษาจากอาจารย์ แต่รู้ว่าท่านกำลังยุ่ง จึงเกรงอกเกรงใจไม่กล้าเข้าไปรบกวน
- สมชายขับรถผ่านบ้านเพื่อน แต่เกรงอกเกรงใจไม่กล้าแวะเข้าไปเยี่ยมเพราะไม่ได้บอกล่วงหน้า
- คนไทยมักจะเกรงอกเกรงใจจนบางครั้งไม่กล้าปฏิเสธคำขอจากผู้อื่น แม้จะไม่สะดวกก็ตาม
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี