เรียกการที่คนหรือกลุ่มคนที่ไม่มีอำนาจดำเนินคดีตามกฎหมายจับกุมคนมาชำระตัดสินความโดยพลการว่า ตั้งศาลเตี้ย
ประเภทสำนวน
"ศาลเตี้ย" จัดว่าเป็น สำนวนไทย เพราะว่า เป็นคำที่มีความหมายเฉพาะ ไม่สามารถเข้าใจได้จากการแปลตรงตัว จำเป็นต้องทราบความหมายเฉพาะของสำนวนนี้ ไม่ใช่คำสอนโดยตรง (สุภาษิต) หรือการเปรียบเทียบที่ต้องตีความต่อ (คำพังเพย)
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้หมายถึงการที่ผู้ถูกกระทำหรือผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิตัดสินใจลงโทษผู้กระทำผิดด้วยตนเอง โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย เปรียบเหมือนการตั้งศาลขึ้นมาเองและพิพากษาเอง ศาลเตี้ยจึงหมายถึงกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นทางการและต่ำกว่ามาตรฐาน เป็นการตัดสินคดีความโดยอารมณ์ส่วนตัว ไม่ผ่านกระบวนการตามกฎหมาย
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ศาลเตี้ย" ในประโยค
- หลังจากโดนกรีดรถ เขาจับได้ว่าเป็นฝีมือของเพื่อนบ้าน เขาเลยทุบกระจกรถเพื่อนบ้านกลับทันที นี่เป็นการพิพากษาศาลเตี้ยที่ไม่ควรทำเลย
- การแก้แค้นด้วยวิธีศาลเตี้ยอาจทำให้ปัญหาบานปลายไปมากกว่าเดิม ควรใช้วิธีการตามกฎหมายจะดีกว่า
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี