หลง ๆ ลืม ๆ, ขี้หลงขี้ลืม
ประเภทสำนวน
"ได้หน้าลืมหลัง" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นคำเปรียบเปรยถึงพฤติกรรมของคนที่พอมีความเจริญก้าวหน้าหรือได้ดีแล้วก็ลืมคนที่เคยช่วยเหลือตนในอดีต มีลักษณะเป็นการเปรียบเทียบพฤติกรรมมนุษย์ที่ต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้สะท้อนลักษณะนิสัยของคนที่เมื่อตนเองประสบความสำเร็จ มีฐานะดี หรือได้รับตำแหน่งสูงแล้ว ก็มักจะลืมผู้มีพระคุณหรือผู้ที่เคยช่วยเหลือตนเองในยามลำบาก หรือในช่วงที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ แสดงถึงความอกตัญญู ขาดความสำนึกในบุญคุณ
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ได้หน้าลืมหลัง" ในประโยค
- นายแดงเป็นคนได้หน้าลืมหลัง พอได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการแล้วก็ไม่เคยนึกถึงเพื่อนร่วมงานที่เคยช่วยเหลือตนมาก่อน
- พออยู่ดีมีสุขแล้วก็ได้หน้าลืมหลัง ไม่เคยกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาแม้แต่ครั้งเดียว
- หลายคนพอรวยแล้วมักจะได้หน้าลืมหลัง ไม่จำว่าใครเคยช่วยเหลือตนในยามลำบาก
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี