แสดงทีท่าหรือกิริยาอาการที่มิได้เกิดจากนิสัยใจจริง, แสดงกิริยาท่าทีลวงให้เข้าใจผิด
เช่น ต่างคนต่างใส่หน้ากากเข้าหากัน, สวมหน้ากาก ก็ว่า
ประเภทสำนวน
"ใส่หน้ากาก" จัดว่าเป็น สำนวนไทย เพราะว่า เป็นกลุ่มคำที่มีความหมายเฉพาะ ไม่สามารถแปลความหมายตรงตัวได้ จำเป็นต้องเข้าใจความหมายแฝงเฉพาะ ไม่ได้มีลักษณะเป็นคำสอนโดยตรง (จึงไม่ใช่สุภาษิต) และไม่มีรูปแบบการเปรียบเปรยชัดเจน (จึงไม่ใช่คำพังเพย)
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้สะท้อนพฤติกรรมการแสดงออกของมนุษย์ที่แอบแฝงหรือปกปิดตัวตนที่แท้จริง โดยการสวมใส่หน้ากากหรือแสดงอีกบุคลิกภาพหนึ่งเพื่อซ่อนความรู้สึกหรือเจตนาที่แท้จริง เปรียบเสมือนการแสดงละครบนเวทีชีวิต ที่มาของสำนวนคือการเปรียบเทียบกับการสวมหน้ากากที่ใช้ในการแสดง ซึ่งนักแสดงจะสวมบทบาทที่ไม่ใช่ตัวตนจริง
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ใส่หน้ากาก" ในประโยค
- เธอดูเป็นคนร่าเริงและมีน้ำใจในที่ทำงาน แต่เบื้องหลังกลับปองร้ายเพื่อนร่วมงาน นี่แหละคือคนที่ใส่หน้ากากได้เก่งจริงๆ
- หลายคนมักจะใส่หน้ากากในสังคม แสดงตัวเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่พอลับหลังกลับทำตรงข้าม
- ในยุคโซเชียลมีเดีย คนเราชอบใส่หน้ากากเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ ทั้งที่ชีวิตจริงอาจไม่ได้เป็นอย่างที่โชว์เลย
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี