ถึงจะทำงานเล็กใหญ่ หรือค้าขายอะไรก็ตาม ก็พยายามค่อย ๆ ทำให้ดีขึ้นแม้เล็กน้อย ๆ เมื่อรวมกันและใช้เวลาก็จะทำให้การงานนั้นเห็นผลเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้
เก็บเล็กผสมน้อย, ทําอะไรที่ประกอบด้วยส่วนเล็กส่วนน้อย โน่นบ้างนี่บ้าง จนสําเร็จเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
เก็บเล็กผสมน้อย, ทําอะไรที่ประกอบด้วยส่วนเล็กส่วนน้อย โน่นบ้างนี่บ้าง จนสําเร็จเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
ประเภทสำนวน
"เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนโดยตรงที่แนะนำให้เก็บรวบรวมเงินทีละเล็กละน้อย มีความสมบูรณ์ในความหมายของตัวเอง ถ่ายทอดข้อคิดเรื่องการประหยัดและความอดทน ไม่ต้องตีความซับซ้อน ผู้ฟังเข้าใจความหมายได้ทันที
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
ที่มาของสุภาษิตนี้มาจากสมัยโบราณที่มีการใช้เบี้ย (หอยเบี้ย) เป็นเงินตรา มีคนรวบรวมเงินโดยการเก็บเบี้ยที่ตกหล่นใต้ร้านค้า แม้จะเป็นเงินจำนวนน้อย แต่เมื่อสะสมไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นเงินจำนวนมากได้ สอนให้รู้จักเก็บออมแม้จะเป็นเงินเล็กน้อย และสอนเรื่องความอดทนในการสะสมทีละเล็กละน้อย
ตัวอย่างการใช้สำนวน "เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน" ในประโยค
- นักเรียนที่อยากมีเงินซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ควรเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านโดยหยอดกระปุกออมสินทุกวัน
- คุณแม่สอนลูกให้รู้จักเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน โดยแบ่งเงินค่าขนมส่วนหนึ่งเก็บออมไว้ทุกวัน
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี
ประเภทสำนวน
"เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนโดยตรงที่แนะนำให้รู้จักประหยัด เก็บออม และไม่ละเลยสิ่งเล็กน้อย มีความชัดเจนในตัวเอง ให้ข้อคิดโดยตรงไม่ต้องตีความมาก
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากสมัยก่อนที่ร้านค้ามักสร้างเป็นใต้ถุนสูง เมื่อมีการซื้อขายสินค้า บางครั้งเหรียญเงินหรือเบี้ย (เงินเหรียญในสมัยก่อน) อาจตกหล่นลงไปใต้ถุนร้าน คนที่ละเอียดรอบคอบและรู้จักคุณค่าของเงินจะไม่ละเลย จะก้มลงไปเก็บเบี้ยเหล่านั้น แม้จะเป็นเงินเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ ก็จะกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ได้
ตัวอย่างการใช้สำนวน "เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน" ในประโยค
- คุณยายสอนเสมอว่าให้เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน แม้จะเป็นเงินเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อสะสมนาน ๆ ก็จะมีเงินก้อนใหญ่
- แทนที่จะทิ้งขวดพลาสติกและกระป๋อง เขาเลือกที่จะรวบรวมเพื่อนำไปขาย เป็นการเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านที่ช่วยประหยัดได้มากในระยะยาว
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี
ประเภทสำนวน
"เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนโดยตรงเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต มีความหมายชัดเจนในตัวเอง ไม่ต้องตีความมาก และให้แง่คิดทางคุณธรรมเรื่องความประหยัด
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
คำว่า 'เบี้ย' ในที่นี้หมายถึงเงินตรา ซึ่งแต่ก่อนเบี้ยเป็นหอยขนาดเล็กที่ใช้เป็นเงินตรา ส่วน 'ใต้ถุนร้าน' หมายถึงบริเวณใต้ร้านค้าซึ่งอาจมีเงินหล่นลงไป การเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านจึงเปรียบกับการเก็บสะสมทรัพย์เล็กๆ น้อยๆ ที่คนอื่นอาจมองข้าม แสดงการรู้จักประหยัดและอดออม
ตัวอย่างการใช้สำนวน "เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน" ในประโยค
- คุณหมอควรเริ่มเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านได้แล้ว ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อเก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณ
- แม้จะได้เงินเดือนไม่มาก แต่เขารู้จักเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน ทำให้มีเงินก้อนพอซื้อบ้านได้ภายในห้าปี
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี