ผู้ได้รับความเดือดร้อนก่อนผู้อื่น เช่น ลูกทำความผิดมา พ่อแม่ก็ต้องเป็นหนังหน้าไฟ
ผู้ที่คอยรับหน้า รับความเดือดร้อนก่อนผู้อื่น
ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน หรืออันตรายก่อนผู้อื่นซึ่งเป็นต้นเรื่อง
ประเภทสำนวน
"หนังหน้าไฟ" จัดว่าเป็น สำนวนไทย เพราะว่า เป็นวลีเฉพาะที่มีความหมายพิเศษซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้จากการแปลตรงตัว ต้องรู้ความหมายเฉพาะทางวัฒนธรรมไทย ไม่ได้เป็นคำสอนโดยตรงหรือการเปรียบเทียบที่ต้องตีความเพิ่มเติม
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มาจากการทำหนังตะลุงหรือหนังใหญ่ ซึ่งใช้แสงจากไฟส่องกระทบฉากเพื่อให้เห็นเงาของตัวหนัง ชาวบ้านมักเรียกการแสดงหนังตะลุงหรือหนังใหญ่ว่า 'เล่นหนัง' หรือ 'หนังหน้าไฟ' ต่อมาจึงนำมาใช้เปรียบเทียบกับคนที่พยายามแสดงอาการหรืออารมณ์ให้ดูเกินจริง เหมือนการแสดงละครที่ต้องเน้นสีหน้าและท่าทางให้ชัดเจน
ตัวอย่างการใช้สำนวน "หนังหน้าไฟ" ในประโยค
- เธอเห็นเขาร้องไห้แบบนั้นก็เชื่อเลยหรือ ก็แค่หนังหน้าไฟเท่านั้นแหละ เขาแกล้งทำเพื่อให้เธอสงสาร
- นักการเมืองคนนี้ชอบทำหนังหน้าไฟ ออกทีวีแสดงความห่วงใยประชาชน แต่พอเลือกตั้งเสร็จก็หายเงียบ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี
ประเภทสำนวน
"หนังหน้าไฟ" จัดว่าเป็น สำนวนไทย เพราะว่า เป็นสำนวนที่แปลตรงตัวไม่ได้ ต้องตีความหมายเฉพาะทางภาษาไทย ไม่ได้มีลักษณะเป็นคำสอนโดยตรง (สุภาษิต) หรือเป็นการเปรียบเทียบที่ต้องตีความต่อ (คำพังเพย) แต่เป็นวลีสั้นๆ ที่มีความหมายเฉพาะในภาษาไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
มาจากการแสดงโขนละครแต่โบราณที่ใช้แสงไฟจากกองไฟหรือตะเกียงส่องหน้านักแสดงที่ทำให้เห็นทั้งสีและลวดลายบนหน้านักแสดงได้ชัดเจน จึงใช้เปรียบเทียบกับคนที่แสดงออกทางสีหน้าและอารมณ์ชัดเจน โดยเฉพาะเวลามีอารมณ์โกรธ โดยคนที่อยู่ต่อหน้าสามารถอ่านความรู้สึกได้ทันที
ตัวอย่างการใช้สำนวน "หนังหน้าไฟ" ในประโยค
- พอเธอได้ยินชื่อคู่อริเก่า หน้าเธอก็เปลี่ยนเป็นหนังหน้าไฟทันที ทำให้ทุกคนรู้ว่าเธอยังเคืองอยู่
- ไม่ต้องถามความรู้สึกของเขาหรอก ดูหนังหน้าไฟนั่นสิ โกรธจนหน้าแดงก่ำ ปิดไม่อยู่แล้ว
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี
ประเภทสำนวน
"หนังหน้าไฟ" จัดว่าเป็น สำนวนไทย เพราะว่า เป็นวลีเฉพาะที่มีความหมายพิเศษ ไม่สามารถเข้าใจได้จากการแปลตรงตัว ต้องรู้ความหมายเฉพาะ ไม่ใช่คำสอนโดยตรง (สุภาษิต) หรือการเปรียบเปรย (คำพังเพย)
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
มาจากการแสดงหนังตะลุงหรือหนังใหญ่ ที่ใช้แผ่นหนังฉลุเป็นตัวละครแล้วนำไปแสดงหน้าจอผ้าที่มีแสงไฟส่องอยู่ด้านหลัง คนดูจะเห็นเป็นเงาบนจอ เปรียบเหมือนคนใหม่ๆ ที่เพิ่งเริ่มทำงานหรือฝึกหัด ยังไม่มีประสบการณ์
ตัวอย่างการใช้สำนวน "หนังหน้าไฟ" ในประโยค
- น้องคนนี้เพิ่งเข้ามาทำงานได้แค่เดือนเดียว ยังเป็นหนังหน้าไฟอยู่เลย ต้องให้เวลาเรียนรู้อีกสักพัก
- เขาเป็นนักแสดงหนังหน้าไฟ เพิ่งเริ่มเรียนรู้บทบาทการแสดงได้ไม่นาน ยังต้องฝึกฝนอีกมาก
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี