ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นให้มัวหมอง
ประเภทสำนวน
"สาดโคลน" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นการเปรียบเปรยถึงพฤติกรรมการใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น มีความหมายแฝงที่ต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรงแบบสุภาษิต และไม่ใช่คำหรือวลีเฉพาะที่ต้องตีความพิเศษแบบสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้เปรียบเทียบการพูดใส่ร้ายป้ายสีหรือกล่าวหาคนอื่นในทางเสียหายโดยไม่มีมูลความจริง เหมือนกับการสาดหรือขว้างโคลนใส่ผู้อื่น ซึ่งแม้จะล้างออกได้แต่ก็ทำให้เปื้อนเลอะเทอะและเสียภาพลักษณ์ไปชั่วขณะ เมื่อโคลนแห้งแล้วอาจจะยังมีรอยเปื้อนหลงเหลืออยู่ เปรียบเสมือนคำใส่ร้ายที่แม้จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ แต่ความเสียหายต่อชื่อเสียงก็เกิดขึ้นแล้ว
ตัวอย่างการใช้สำนวน "สาดโคลน" ในประโยค
- นักการเมืองฝ่ายค้านมักจะสาดโคลนใส่รัฐบาลด้วยข้อกล่าวหาต่างๆ โดยไม่มีหลักฐานชัดเจน
- เขาไม่พอใจที่แฟนเก่ามีคนใหม่ เลยออกมาสาดโคลนใส่ทั้งคู่บนโซเชียลมีเดีย ทั้งที่เลิกกันไปนานแล้ว
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี