มากมายก่ายกอง มากมายนับไม่ถ้วน เยอะแยะ
ประเภทสำนวน
"มืดฟ้ามัวดิน" จัดว่าเป็น สำนวนไทย เพราะว่า เป็นวลีที่ไม่สามารถแปลความหมายตรงตัวได้ ต้องตีความเป็นนัยเฉพาะ ไม่ใช่คำสอนโดยตรง (จึงไม่ใช่สุภาษิต) และไม่ได้มีลักษณะเป็นการเปรียบเทียบพฤติกรรมหรือสถานการณ์ (จึงไม่ใช่คำพังเพย)
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากความมืดมิดของท้องฟ้าและพื้นดิน เมื่อเกิดพายุหรือสภาพอากาศแปรปรวนอย่างรุนแรง ใช้เพื่ออธิบายถึงสถานการณ์ที่วุ่นวาย สับสน หรืออันตราย จนไม่สามารถมองเห็นทางออกหรือที่พึ่งได้ เปรียบเสมือนความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าและดิน
ตัวอย่างการใช้สำนวน "มืดฟ้ามัวดิน" ในประโยค
- หลังจากที่บริษัทล้มละลาย เขาติดหนี้มากมาย ชีวิตตอนนี้มืดฟ้ามัวดินไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร
- สถานการณ์การเมืองในประเทศตอนนี้มืดฟ้ามัวดิน ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
- เธอรู้สึกมืดฟ้ามัวดินหลังจากสูญเสียคนที่รักไป ไม่เห็นหนทางข้างหน้าเลย
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี