คอยแต่จะเถียงกันไปมา ไม่รู้จักจบจักสิ้น
เช่น ผมไม่อยากต่อปาก ต่อคำ กับคุณในเรื่องนี้อีกแล้วนะ
ประเภทสำนวน
"ต่อปาก ต่อคำ" จัดว่าเป็น สำนวนไทย เพราะว่า เป็นวลีเฉพาะที่ไม่สามารถแปลตรงตัวได้ มีการใช้คำกริยา 'ต่อ' ซ้ำและมีความหมายเฉพาะที่ไม่ใช่คำสอนโดยตรงหรือการเปรียบเทียบ
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
เป็นสำนวนที่อธิบายลักษณะการโต้เถียงหรือพูดเถียงกันไปมาอย่างไม่ยอมลดละ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน มีการโต้ตอบคำพูดกันอย่างต่อเนื่อง ทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ อีกฝ่ายหนึ่งก็จะพูดสวนกลับทันที หรือเป็นการเถียงกันอย่างทันควัน ไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้เปรียบในการโต้แย้ง
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ต่อปาก ต่อคำ" ในประโยค
- เขาสองคนมีปากเสียงกัน พอฝ่ายหนึ่งพูดอะไร อีกฝ่ายก็จะเถียงกลับมาทันที เป็นการต่อปาก ต่อคำกันไม่จบสิ้น
- ในที่ประชุม แทนที่จะรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน กลับกลายเป็นการต่อปาก ต่อคำระหว่างสองฝ่าย จนประธานต้องเคาะค้อนเตือน
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี