ความซื่อสัตย์ทำให้คนเชื่อใจ มีคนนับถือ ไม่มีวันอดตาย มีคนคอยช่วยเหลือ แต่หากมีนิสัยคดโกง เมื่อถูกจับได้ย่อมไม่มีใครอยากช่วยเหลือหรือเกี่ยวข้องด้วย
ประเภทสำนวน
"ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนโดยตรงที่ให้ข้อคิดเรื่องความซื่อสัตย์ มีความชัดเจนในตัวเอง เข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องตีความ และมีลักษณะเป็นคำสอนที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้สอนให้คนประพฤติตนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยชี้ให้เห็นว่าคนที่ซื่อสัตย์แม้จะไม่ร่ำรวยมากมาย แต่จะมีกินมีใช้ไปตลอดชีวิต ('กินไม่หมด') ในขณะที่คนที่คดโกง แม้จะได้ทรัพย์มามาก แต่จะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างมั่นคงได้นาน ('คดกินไม่นาน') เพราะท้ายที่สุดจะต้องประสบกับผลแห่งการกระทำของตน
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน" ในประโยค
- คุณปู่สอนหลานๆ เสมอว่า 'ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน' จึงทำให้ครอบครัวเรายึดมั่นในความซื่อสัตย์มาทุกรุ่น
- เขาได้เรียนรู้บทเรียนราคาแพงหลังจากทุจริตและถูกจับได้ ทำให้เข้าใจสุภาษิตที่ว่า 'ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน' อย่างลึกซึ้ง
- พ่อค้าคนนี้ยึดมั่นในหลัก 'ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน' จึงขายสินค้าในราคายุติธรรมและไม่เอาเปรียบลูกค้า จนมีชื่อเสียงดีและค้าขายเจริญรุ่งเรือง
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี